เทศน์พระ

ค้ำจุน

๔ ต.ค. ๒๕๕๖

 

ค้ำจุน
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๖
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ทำใจให้สงบนะ ใจของคนน่ะมันเร่ร่อน มันไม่อยู่กับที่อยู่กับทาง ถ้ามันอยู่กับที่อยู่กับทางน่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนได้ง่ายมากกว่านี้ แต่มันสอนไม่ได้ง่าย ไม่ได้ง่ายเพราะคนบางคนวุฒิภาวะของจิตมันแตกต่างกัน

ถ้ามันแตกต่างกันนะ เวลาคน ดูสิ อนาถบิณฑิกเศรษฐีได้ยินคำว่าพุทธะไม่ได้เลย ได้ยินคำว่าพุทธะนะนอนไม่หลับคืนนั้นน่ะ นี่ไปเยี่ยมเพื่อนใช่ไหม เพื่อนเขานิมนต์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาฉัน ทำอาหารอยู่

“เขามีงานอะไรกัน”

“ไม่รู้หรือว่าพระพุทธเจ้าอุบัติแล้ว พรุ่งนี้จะนิมนต์พระพุทธเจ้ามาฉันข้าวที่บ้านนี้”

พุทธะเกิดแล้ว อนาถบิณฑิกเศรษฐีได้ยินคำว่าพุทธะ นอนไม่หลับเลยนะ คืนนั้นน่ะกระวนกระวายๆ จะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ได้ พอเช้าขึ้นมา อรุณจะขึ้นไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนเลย แล้วมาฉันที่บ้าน ฟังธรรมทีเดียวเป็นพระโสดาบัน เห็นไหม นี่นิมนต์ไปเทศน์ที่บ้านบ้าง

ใจของคนมันแตกต่างไง อยู่ที่เขาเห็นกัน เขาอยู่ใกล้ชิดกัน เขาไม่สนใจ มันก็ไม่สนใจเลย แต่นี่ เห็นไหม ได้ยินคำว่าพุทธะ พุทธะเกิดแล้ว นี่นอนไม่หลับนะ ต้องรอแสวงหา แล้วเป็นมหาอุปัฏฐาก เพราะในอุปัฏฐากขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นางวิสาขากับอนาถะนี้เป็นอุปัฏฐากทั้งอุบาสกอุบาสิกา นี่เขาสร้างของเขามาอย่างนั้น วุฒิภาวะของใจเขาไม่เหมือนกันอย่างนั้น ถ้าจิตใจของคน เห็นไหม วุฒิของใจมันไม่เหมือนกัน

ถ้าไม่เหมือนกัน เราย้อนกลับมาดูใจเรา ใจเราน่ะ เราเองเราเกิดมาในชาวพุทธนะ เราเกิดมาเป็นมนุษย์มีอำนาจวาสนามาก มีอำนาจวาสนามากจริงๆ เพราะอะไร เพราะมนุษย์ถ้าคุยกันด้วยเหตุด้วยผล มนุษย์คุยกันได้ มนุษย์คุยกัน มนุษย์มีปัญญาที่แยกแยะถูกแยกแยะผิดได้

สัตว์ เห็นไหม สัตว์เวลามันควบคุมอารมณ์มันได้มันก็อย่างหนึ่ง แต่เวลามันเป็นสัตว์ขึ้นมามันไม่ไว้หน้าใครหรอก มันไม่ไว้หน้าใครเลยสัตว์นี่ สัตว์หน้าขนไว้ใจไม่ได้ ให้มันเชื่องขนาดไหนนะ ถ้าวันไหนขึ้นมาถ้ามันควบคุมไม่ได้ มันมีปัญหาทันที นี่สัตว์เดรัจฉานไง

แต่เราเกิดมาเป็นมนุษย์มีคุณค่ามาก มีคุณค่า เห็นไหม เพราะเรามีคุณค่า สิ่งที่มีชีวิตมันมีคุณค่า มันค้ำจุนกันมา ค้ำจุนกันมาด้วยบุญด้วยกุศล ถ้าด้วยบุญกุศลนะ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เห็นไหม เรามีสติมีปัญญา มีความรู้สึกนึกคิด ที่เราจะหาสัจธรรมๆ ถ้าสัจธรรมเห็นไหมค้ำจุนกันมาด้วยบุญด้วยกุศล ด้วยบุญด้วยกุศล ด้วยศรัทธา ด้วยความเชื่อ

ถ้าศรัทธาความเชื่อนะ เราเชื่อในพระพุทธศาสนา เราเชื่อในสัจธรรม เราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเชื่อรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งของเรา เรามาบวชเป็นพระนี่เราเป็นสมมุติสงฆ์ สมมุติสงฆ์ เราเป็นพระนะ เป็นพระถูกต้องตามธรรมและวินัย ตามธรรมวินัยเพราะว่าอะไร เพราะอุปัชฌาย์ยกเข้าหมู่ สงฆ์ยกเข้าหมู่มาเป็นสงฆ์

สังฆะ สงฆ์ สังฆะ ความเป็นสังฆะ เห็นไหม มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เวลาเราเป็นพระก็เหมือนกัน เวลาพระ เห็นไหม เว้นไว้แต่สมมุติ เว้นไว้แต่สมมุติ เวลาธรรมวินัยบัญญัติ ปรับอาบัติทั้งหมด เว้นไว้สมมุติ สมมุติว่าใครมีหน้าที่ทำสิ่งใด องค์นั้นจะมีสิทธิพิเศษตามหน้าที่นั้น เว้นไว้แต่สมมุติ สมมุติพระองค์นี้ให้ทำหน้าที่นี้ สมมุติว่าพระองค์นี้ให้ทำหน้าที่นั้น นี่เว้นไว้แต่สมมุติ ยังเว้นไว้ เห็นไหม

แต่ถ้าโดยธรรมและวินัยนี่เสมอภาคกัน เราเสมอภาคกัน เราจะค้ำจุนกัน ค้ำจุน สงฆ์จะค้ำจุนกัน พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน การพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันนี้ เพื่อความสงบร่มเย็นของเรา ใครมีอำนาจวาสนา ใครมีความชำนาญ ใครมีความสามารถทางชนิดใด ก็ใช้ความสามารถของตนเพื่อสังฆะ เพื่อสงฆ์นั้นได้พึ่งพาอาศัยกัน

การพึ่งพาอาศัยกัน เหมือนป่าไม้ ดูป่าไม้สิ ป่าไม้ เห็นไหม ดูป่าไม้แต่ละชนิด ต้นไม้เบญจพรรณ ต้นไม้เลื้อย มันอาศัยกัน มันอาศัยเกื้อกูลกัน จนมันเป็นป่าเป็นผืนป่า เป็นผืนป่า เห็นไหม ผืนป่ามันจะมีความชุ่มชื้นของมัน ความชุ่มชื้น ความชื้นถ้าสมดุลกับความชื้นแล้วนี่ มันเกิดความชื้น มันจะเกิดฝน เกิดอากาศที่สดชื่น อากาศต่างๆ มันจะค้ำจุนกันไป เห็นไหม นี่พูดถึงป่า ป่ามันอาศัยกัน มันเกาะเกี่ยวกัน มันเกี่ยวเนื่องกันไป เพื่อประโยชน์กับความดำรงของป่านั้น เพื่อสิ่งที่มีชีวิต สัตว์ป่าอาศัยในป่านั้นก็เพื่ออาศัยความดำรงชีวิตอย่างนั้น นี่สิ่งที่ดำรงชีวิตมันค้ำจุนอุ้มชูกัน มันเกี่ยวเนื่องกันอาศัยพึ่งพากัน มันถึงเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ขึ้นมา อุดมสมบูรณ์ขึ้นมานะ มันก็มีแหล่งอาหาร มีต่างๆ เพื่อดำรงชีวิต

ศรัทธาความเชื่อเราก็เหมือนกัน ถ้าเรามีศรัทธามีความเชื่อ มันค้ำจุนมา เห็นไหม ค้ำจุนมาให้เรามีศรัทธา พอมีศรัทธาความเชื่อมั่นของเราขึ้นมานี่ เราศึกษา เราค้นคว้า ค้นคว้ามาเพื่อเราจะหาสัจจะความจริง ถ้าหาสัจจะความจริง ถ้ามันค้ำจุนจากภายใน ค้ำจุนจากภายใน เห็นไหม นี่ถ้ามันมีสติ มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา มันค้ำจุนอุ้มชูหัวใจของเรานะ ถ้าหัวใจของเรามันไม่มีสิ่งนี้ได้ มันแห้งผาก พอมันแห้งผาก มันว้าเหว่

ดูสิ เวลาถ้าเกิดเราตัดไม้ทำลายป่ากัน เขาบอกต่อไปจะเป็นทะเลทราย จะเป็นทะเลทราย เพราะอะไร เพราะมันไม่มีสิ่งใดปกพื้นดิน ไม่มีพืชคลุมดิน ไม่มีสิ่งใด เห็นไหม มันเก็บความชุ่มชื้นไว้ไม่ได้ ต่อไปมันก็กลายเป็นทะเลทราย

หัวใจของเรา เห็นไหม ดูสิ ศรัทธาความเชื่อ เรามีศรัทธามีความเชื่อของเรา เราพยายามศึกษา เราค้นคว้าของเรา ถ้ามันมีสติ มีสติเราทำสิ่งใดมันก็ชัดเจนขึ้น ถูกต้องดีงามขึ้น ถ้าขาดสติ ทำอะไรด้วยความพลั้งเผลอไป สิ่งต่างๆ มันก็ทำให้เสียหายไป ถ้ามันมีศีล ศีลความปกติของใจ มันมีสมาธิ สมาธิความร่มเย็นเป็นสุข นี่มันค้ำจุนกันมา

ผืนป่านั้นมันมีพืชคลุมดินของมัน มันมีความชุ่มชื้นของมัน มันจะเป็นแหล่งที่อาศัยของพืชพรรณธัญญาหาร นี่ก็เหมือนกัน หัวใจเรา เรามีศรัทธามีความเชื่อ เรามีสติ มีสมาธิ มีสติ มีสติมีปัญญาขึ้นมา มันจะค้ำจุนดูแลหัวใจของเราไง ถ้าหัวใจของเรามันมีสติคุ้มครองความชุ่มชื้น มีพืชคลุมดินไว้ ศรัทธาความเชื่อคลุมหัวใจเราไว้ ดูแลหัวใจของเราไว้ มันค้ำจุนใจเราไง มันค้ำจุนหัวใจของเราไม่ให้มันแห้งแล้งจนเกินไป มันมีสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้น ถ้ามีสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้น เห็นไหม สิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นทุกอย่างมันจะค้ำจุนขึ้นมา มันจะพัฒนาการของมันขึ้นไป

ถ้าเรามีสิ่งนี้ เราต้องตั้งสติ เราตั้งสติ เราศึกษาขึ้นมา สิ่งที่เวลาเราศึกษามันเป็นภาคทฤษฎี ทฤษฎีคือหลักการ ด้วยหลักการต่างๆ ธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นหลักการ เป็นวิธีการ ว่ากิริยาของใจเกิดจากใจๆ เราจะแสวงหาเข้ามาสู่ตัวใจของเรา

เวลาจิตมันสงบ ทำสมาธิพอจิตมันสงบมานี่ ถ้าคนมันสงบเข้ามาน่ะ มันมหัศจรรย์ มันแปลกประหลาดมาก สิ่งที่ไม่เคยพบไม่เคยเห็น สิ่งที่เราไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น เราไม่เคยพบเห็นเลย เราไปพบเห็นเข้านี่เห็นไหม สิ่งที่เป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก เราบวชเป็นพระมา เราทำปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติชอบแก่ธรรมวินัย ถ้าปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติชอบต่อธรรมวินัย มันจะค้ำจุนอุ้มชูของเราขึ้นมา เพราะมันเกิดเป็นบุญ

บุญกุศล บาปอกุศลมันทำให้เราเฉไฉออกนอกเรื่องนอกราวไป ถ้าเป็นบุญกุศลล่ะ บุญกุศลนี่คุณงามความดี เห็นไหม สิ่งที่เป็นบุญกุศล บุญกุศลคืออะไร? ความอบอุ่นของใจ ใจมันมีหลักมีเกณฑ์ มันมีความอบอุ่น มันมีที่พึ่งของมัน มันก็อบอุ่นของมัน ถ้ามันแห้งแล้งของมันน่ะ มันทุกข์ มันแห้งแล้ง มันไม่มีที่พึ่งอาศัย

เราไปอยู่กลางป่ากลางเขา เราไปอยู่ในทะเลทราย มันไปอ้างว้างอยู่อย่างนั้นน่ะ พอกลางคืนมามันก็มีแต่ท้องฟ้า มันมีแต่ดวงดาวน่ะ แล้วแหล่งน้ำก็ไม่มีจะกิน มันแห้งแล้งของมัน

แต่ถ้าเรารักษาใจของเรา เราบำรุงดูแลรักษาใจของเรา ก็ใจเราภวาสวะภพ ถ้ามันมีพืชคลุมดิน มันมีความชุ่มชื้นนี่มันแตกต่างกัน มันแตกต่างกันนะ ระหว่างแห้งแล้งเป็นทะเลทรายไป จิตใจมันว้าเหว่ จิตมันมีความทุกข์ร้อน นั่นอกุศล แต่ถ้ามันเป็นป่า มันมีความชุ่มชื้นของมัน มีแหล่งน้ำของมัน มีพืชพรรณธัญญาหารของมัน เห็นไหม นี่กุศล ถ้าเป็นกุศลขึ้นมา เรารักษาของเรา มันค้ำจุนไง สิ่งที่ค้ำจุนกันมา ชีวิตมันเกี่ยวเนื่องกันมา ธรรมชาติ สภาวะแวดล้อม มันจะพัฒนาของมันไป มันค้ำจุนกันเพื่อความดีงาม เพื่อความสงบร่มเย็นของเรา

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันย้อนกลับมาภายใน มันย้อนกลับมาเรื่องหัวใจของเรา ถ้าใจของเรามีสติ ถ้ามีสติเราทำสิ่งใด เห็นไหม เราทำสิ่งใด มันมีหิริ โอตตัปปะ มันมีความละอาย ถ้ามันเป็นความผิด สิ่งนั้นเราไม่ควรทำๆ ถ้าเราทำสิ่งใด เราทำจนคุ้นชินเข้าไปน่ะ ไม้คด ไม้งอ เห็นไหม ต้นคดปลายตรงมันไม่มี ถ้าต้นมันตรงล่ะ ถ้าต้นมันตรงต้องดัดแปลง ศีลของเราไง ถ้าศีลของเรามันคดมันงอเข้าไปนี่ แล้วเราทำจนเป็นปกติของเราขึ้นไป มันจะเป็นอยู่อย่างนั้นน่ะ แล้วมันก็คดงออยู่อย่างนั้น แล้วมันไปเรื่อย

แต่ถ้ามันตรงของมัน เราพยายามรักษาของเราให้มันตรงกับธรรม เรารักษาธรรมวินัยของเราในใจของเรา ถ้าต้นมันตรงพยายามบังคับหัวใจของเราให้ตรงกับธรรมวินัย เราทำสิ่งใดมันสะเทือนแล้ว มันสะเทือนเพราะเราทำผิดพลาดไป ทางการช่าง เห็นไหม สิ่งใดถ้ามันไม่เข้ากัน มันทำกันไม่ได้ อย่างเช่นน็อตมันคนละขนาด มันเข้ากันไม่ได้หรอก ถ้ามันเข้ากันไม่ได้มันใช้ประโยชน์ไม่ได้ แต่ถ้ามันเข้ากันได้มันก็ใช้ประโยชน์ได้

นี้ก็เหมือนกัน ถ้าหัวใจของเรานี่ ถ้าเราดูแลรักษาของเรา ธรรม เห็นไหม ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่เริ่มต้น ท่ามกลาง และที่สุด มันจะไม่ขัดไม่แย้งกัน ถ้ามันขัดแย้งกัน ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “สิ่งใดถ้ามันแสดงไปแล้วมันขัดมันแย้งกัน มันไปกันไม่ได้น่ะ มันไม่ใช่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า”

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันจะไม่ขัดไม่แย้งกัน มันจะไปในทางเดียวกัน เพียงแต่ว่ามันมีหยาบ กลาง ละเอียด ละเอียดสุด ถ้ามัน เห็นไหม มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด สิ่งที่เราทำแล้วนี่ สิ่งที่ว่ามันเป็นธรรมๆ มันมรรคหยาบๆ แล้วถ้าเราทำดีมากไปกว่านี้ มันจะละเอียดเข้าไป แต่ถ้าเราไปติดอยู่มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียดคือว่ามันหยาบไง พอมันหยาบมันละเอียดไปไม่ได้ มันไม่พัฒนาของมัน มันก็ละเอียดไปไม่ได้ ถ้ามันพัฒนาไป มันละเอียดของมันขึ้นไป ถ้าละเอียดขึ้นไป เห็นไหมนี่มรรคหยาบไม่ฆ่ามรรคละเอียด เพราะมรรคหยาบเราพิจารณาของเราไป

เราสร้างของเราขึ้นมา เราพยายามฝึกฝนของเราขึ้นมา ถ้ามันฝึกฝนขึ้นมา เห็นไหมน่ะ มันจะค้ำจุนหัวใจเราไง สิ่งมีชีวิตมันจะค้ำจุนกัน มันจะเกี่ยวเนื่องกัน มันจะพึ่งพาอาศัยกัน เพื่อพัฒนาการของมันไป สัตว์บางชนิด เห็นไหม เขาว่ามันกลายพันธุ์ ถ้ามันกลายพันธุ์ มันพัฒนาพันธุ์ คัดพันธุ์ของมันขึ้นไป จนมันพัฒนาไปเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป

นี่ก็เหมือนกัน หัวใจของเรานี่ถ้าเราเป็นปุถุชน ถ้าปุถุชนเราก็ยึดถูกต้องนะ เรายึดทางวิทยาศาสตร์ เห็นไหม วิทยาศาสตร์ ทฤษฎีมันเป็นแบบนี้ ถ้าทฤษฎีมันเป็นแบบนี้ เวลาเราภาวนาเราวางไว้ก่อน พอวางไว้ก่อน เราหัดของเราขึ้นมา พยายามกำหนดสติปัญญาเราขึ้นมา สติปัญญาของเรา สติปัญญาของใครนะ สติปัญญาของใครก็แล้วแต่ของคนๆ นั้น เพราะมันชอบคนๆ นั้น เพราะมันเกิดมาจากภวาสวะ เกิดจากภพ เกิดจากจิตดวงนั้น

ถ้าเกิดจากจิตดวงนั้น ถ้ามันมีสติปัญญาขึ้นไป ถ้ามันมีการกลั่นกรอง มันมีการกำหนดภาวนา เห็นไหม นี่มันมีคำบริกรรมของมัน มีปัญญาอบรมสมาธิของมันขึ้นมา มันจะเข้าไปสู่ใจดวงนั้นไง นี่จากใจดวงใดก็แล้วแต่ มันใช้ปัญญาของใจดวงใดก็แล้วแต่ ถ้ามันพิจารณาของมันไป เห็นไหม นี่มันใช้คำบริกรรม มันใช้ปัญญาอบรมสมาธิ พัฒนาการของมันเข้าไป ถ้ามันสงบ มันก็สงบเข้าไปสู่ใจดวงนั้น

ถ้าเราบอกว่าทางทฤษฎี ทางธรรมวินัยเราศึกษามาแล้วมันต้องเป็นอย่างนั้นๆ ใช่! มันเป็นแบบนั้น มันเป็นแบบนั้นเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ววางธรรมและวินัยนี้ไว้ สิ่งที่วางธรรมวินัยนี้ไว้นี่เป็นทฤษฎี เห็นไหม เป็นกิริยาของธรรมๆ แล้วกิริยานั้นถ้าเราใช้ให้เป็นประโยชน์กับเรา เราใช้นี่

ดูสิ บางคนใช้คำบริกรรมดี บางคนใช้ปัญญาอบรมสมาธิดี บางคนใช้ปัญญาดี นี่มันใช้ดีๆ อย่างไร นี่มันตรงกับจริตนิสัยของใคร สิ่งที่ว่าธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ถูกต้อง แล้วบอกเราต้องศึกษาทางทฤษฎี เราทำไปแล้วมันคงจะผิดพลาดขึ้นไป ถ้าทางทฤษฎีนี่ ทฤษฎีมันก็คือทฤษฎีไง

แต่เวลาปฏิบัติจริงขึ้นมา สติมันเป็นอย่างไร สตินี่คนที่รู้สติ สติความระลึกรู้อยู่มันมหาศาลเลยนะ แต่พอเวลาเขียนเป็นอักษร ส. เสือ ตอ เต่า สระอิ สติ สติ-มหาสติ แล้วสติขึ้นมามันมีผลขนาดไหน เพราะมีสติ เราถึงไม่มีความผิดพลาดไป เพราะเรามีสติ สิ่งที่เราจะทำความเสียหายไป เราคิดของเราเรามีโครงการเราทำอย่างนั้น เพราะเรามีสติ เราเตือนเราเอง เราปล่อยวาง เราไม่ทำอย่างนั้นน่ะ ถ้าทำไปแล้วมันจะเกิดความเสียหายขนาดนั้น มันเศร้าใจนะ

สติคำเดียว สตินี่มันยับยั้งได้หมด มันยับยั้งความที่เราคิดจินตนาการว่าจะทำการสิ่งใด แต่เราคิดผิด เราเห็นผิด เพราะเราได้ข้อมูลผิด แล้วทำไปนะมันจะเสียหายไปมหาศาลเลย แต่เพราะเรามีสติ มันถึงไม่ได้ทำสิ่งนั้น มันถึงยับยั้งสิ่งนั้น แล้วสิ่งที่ความเสียหายจะเกิดขึ้นมานี่มันไม่มีเลย เห็นไหม เพราะเราไม่ได้ก่อเหตุก่อปัจจัยขึ้นมา มันถึงไม่มีเหตุตอบสนองอย่างนั้น เพราะอะไร เพราะเรามีสติ

นี่ไง ถ้ามันบอกคำว่า “สติ” แต่มันให้ผลมหาศาล เห็นไหม นี่ค้ำจุน ถ้ามีสติมันค้ำจุนอย่างนั้น ทำอะไรที่มันผิดพลาด ทำสิ่งใดแล้วอย่าทำย้ำคิดย้ำทำ ย้ำอยู่อย่างนั้นไง แล้วเราเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม เราต้องเปลี่ยนแปลง เราต้องเปลี่ยนแปลง เราก็แก้ไขของเรา เราแก้นี่มีสติมายับยั้งแล้ว ทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบเข้ามา เห็นไหม สิ่งที่มันสงบเข้ามามันจะดีขึ้นแล้ว ดีขึ้นเพราะอะไร? ดีขึ้นเพราะสิ่งที่เวลาเราแห้งแล้ง ทะเลทราย เขาไปหลงอยู่กลางทะเลทราย เขาจะอดตาย อดน้ำจนตาย ไม่มีอาหารกิน ไม่มีสิ่งใด เขาจะตายของเขา แต่ถ้าเขาหาทางรอดได้ มีคนช่วยเหลือเขาได้ เขาจะมีชีวิตรอดมา

นี้ก็เหมือนกัน สิ่งที่ว่าเวลามันเร่ร่อน สิ่งที่เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่มีสิ่งใดค้ำจุนมา สิ่งค้ำชูในใจเรา คืออำนาจวาสนาของเรา คือการประพฤติปฏิบัติของเรา มันได้มรรคได้ผล มันมีเหตุมีผล มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก มันได้สัมผัส อันนั้นเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เป็นความจริงขึ้นมาในใจของเรา

แต่เราศึกษาขึ้นมามันถึงจะเป็นทฤษฎีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าน่ะ ถ้าเป็นทฤษฎีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราก็ว่าสิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์กับเรา เราต้องทำอย่างนั้น เราเชื่อทางโลกไง ทฤษฎีเราเชื่อกันแบบนั้น ถ้าเชื่อแบบนั้น แล้วเราทำตามนั้น เราทำตามนั้น เห็นไหม มันก็เหมือนกับเราเห็นคนอื่นเขาใช้สอยสมบัติของเขาอยู่ แต่เราไม่มี ถ้าเรามีเราจะทำอย่างนั้นๆ แต่เราไม่ได้ทำ เราไม่ได้ทำ เห็นไหม

แต่ถ้าเราทำขึ้นมาล่ะ เพราะเราจะใช้สมบัติอย่างนั้น เรามีสมบัติอย่างนั้นหรือยัง ถ้าเรามีสมบัติอย่างนั้น เพราะสมบัติอย่างนั้นเราได้มาด้วยความทุกข์ความยากของเรา สมบัติที่ว่านี่ศีล สมาธิ ปัญญา เราได้มาด้วยความทุกข์ความยากมานี่ เราจะใช้อย่างนั้นไหม เราจะไม่ใช้อย่างนั้น เพราะอะไร? เพราะเราจะใช้ประโยชน์กับเรา เพื่อย้อนกลับมา เพื่อชำระล้างกิเลสของเรา เราจะย้อนกลับมาให้มันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม เห็นกิเลสในใจของเรา เราปฏิบัติเพื่อประโยชน์กับเรา

สิ่งที่ว่าเราอยู่กลางทะเลทราย อยู่กลางทะเลทรายนี่เรายังไม่ได้ความจริงน่ะ เราก็มีจินตนาการของเราไปทั้งนั้น แต่ถ้าเราเป็นจริงขึ้นมา เห็นไหม ทะเลทรายกับป่าฝน มันแตกต่างกัน ทะเลทรายใครจินตนาการก็ได้ แต่ป่าฝน เห็นไหม ดูสิ ป่าฝนมันมีแหล่งน้ำ มันมีน้ำ มีทุกอย่างพร้อมไปหมด มีความชุ่มชื้นในป่าฝนนั้น

จิตของเราถ้าเรากำหนดพุทโธ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้ามันมีสงบระงับเข้ามานี่ มันเป็นป่าฝน มันเป็นป่าฝนมันมีสิ่งมีชีวิต มันค้ำจุนกันขึ้นมา เพราะ! เพราะถ้าไม่มีสติ คำบริกรรมนั้นมันก็ไม่เป็นสัจจะไม่เป็นความจริงขึ้นมา มันเป็นการสักแต่ว่า คือทำด้วยการสร้างภาพ ทำด้วยการเผอเรอ ทำด้วยการว่าเราได้ทำแล้ว

แต่ถ้ามันทำความเป็นจริงขึ้นมา เห็นไหม มันมีแหล่งน้ำ มันมีสิ่งมีชีวิต มันมีสิ่งที่มันพึ่งพาอาศัยกัน มันมีสัตว์ สัตว์มันมีวงจรห่วงโซ่ของอาหาร ในป่านั้นจะมีสิ่งมีชีวิตตั้งแต่สัตว์เล็กสัตว์น้อยขึ้นไปนะ มันเป็นแหล่งอาหารของมันเป็นห่วงโซ่ของมัน เพราะจิตเรามันมีความเป็นไปไง ถ้าจิตมันสงบเข้ามา ถ้ามันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ตามความเป็นจริง มันได้เห็นการกระทำ มันได้พิจารณาของมัน พอพิจารณาของมัน

นี่สิ่งที่ว่าเราแห้งแล้ง จากปุถุชน ถ้าจิตสงบเข้ามาเป็นกัลยาณปุถุชน ถ้ายกขึ้นสู่โสดาปัตติมรรคล่ะ การยกขึ้นโสดาปัตติมรรคมันจะรู้มันจะเห็นของมันอย่างไร ถ้ามันรู้มันเห็นของมัน มันก็แยกแยะของมันได้ มันจับต้องของมันได้ มันพิจารณาของมันได้ ถ้ามันพิจารณาของมันได้ เห็นไหม คนเรานี่ถ้าล้มลุกคลุกคลาน คนเรายังก้าวเดินยังไม่ได้ ดูเด็ก เห็นไหม เด็กที่มันยังเดินไม่เป็นน่ะเวลามันไปมันคลานของมันไป มันพยายามจะกระเสือกกระสนของมันไปให้ได้

จิตก็เหมือนกัน จิตของเราถ้ามันไม่มีศีล สมาธิ ปัญญา ตามความเป็นจริง จิตมันไม่มีพัฒนาการของมัน มันไม่ก้าวเดินไปของมัน ถ้ามันไม่ก้าวเดินของมัน เราย่ำอยู่กับที่ ที่เราภาวนากันอยู่นี่ ที่เราย่ำอยู่กับที่ เห็นไหม เวลาจิตสงบเข้ามาที มันก็มีความชุ่มชื่นเข้ามาที เราก็พอใจของเราซะทีหนึ่ง แต่ทำไปแล้วทำต่อไปอย่างไร ทำต่อไปอย่างไร ถ้าทำต่อไป เห็นไหม ทำต่อไปแล้วมันไปไม่ได้ย้อนกลับมาเลย ต้องวางให้ได้ กลับมาทำความสงบของใจเข้ามาให้ได้ ถ้าใจมันสงบแล้วย้อนกลับไปพิจารณาใหม่ ถ้าพิจารณาใหม่มันจะก้าวเดินของมันไป เห็นไหม นี่เวลาก้าวเดินทางจิต

เราทำงานทางโลก เราทำข้อวัตรปฏิบัติทำแล้วทำเล่า ทำทุกวัน ทำซ้ำทำซาก แต่ข้อวัตรปฏิบัติ สิ่งที่เป็นข้อวัตรปฏิบัติทำเพื่อดำรงชีวิต ในเมื่อเรามีชีวิตของเราอยู่ สิ่งนี้เราทำของเราเพื่อเป็นข้อวัตร ข้อวัตรของเราเราดำรงชีวิตอย่างนี้ จิตมันมีข้อวัตร จิตมันมีเครื่องอยู่ของมัน เห็นไหม การดำรงชีวิตนี่ ดำรงชีวิตแบบโลกๆ ที่เขาเห็นได้

แต่เวลาจิตมันสงบนะ เวลากำหนดพุทโธ เวลาใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าจิตสงบเข้ามานี่ มันสงบเข้ามา แล้วเราอาศัยอะไรล่ะ วันๆ หนึ่งนะ ถ้าพระเราเวลาเข้าหมู่กัน เห็นไหม เวลาเข้าหมู่เราทำสังฆกรรมต่างๆ มันมีข้อวัตรปฏิบัติ มันมีวิธีการของมัน มันมีวินัยกรรม การกระทำเรารู้ได้ ด้วยศีลด้วยธรรมและวินัยที่เป็นวินัยกรรมที่เราทำไป

แต่เวลาจิต ถ้าเราภาวนาเข้ามา จิตมันสงบเข้ามา มันก็ต้องมีเหตุมีผลของมัน มันต้องมีคำบริกรรมของมันขึ้นมา พอมันละเอียดเข้ามา ถ้าเราไปปล่อยอย่างนั้น เห็นไหม ดูสิ เวลาข้อวัตรเราทำพร้อมกัน เราหมั่นทำ เราประชุมๆ พร้อมกัน เลิกประชุมพร้อมกัน มันก็เป็นสังฆะ มันก็เป็นสงฆ์ มันทิฏฐิเสมอกัน

เวลาจิตเราพุทโธๆๆ จิตมันสงบเข้าไป แล้วเวลามันเสื่อมล่ะ เวลามันเสื่อม เวลาเราจะใช้ปัญญาแล้วมันไม่ก้าวหน้าล่ะ เราจะทำสิ่งใดต่อล่ะ ถ้ามันเป็นข้อวัตรเราเห็นได้ใช่ไหม มันเป็นวัตถุ มันเป็นกายภาพที่เราเห็นได้ แต่จิตนี้เป็นนามธรรม พอจิตนี้เป็นนามธรรมนี่มันเป็นนามธรรม เวลาเรากำหนดพุทโธมันมีเหตุมีผลของมัน คนที่ภาวนาเป็น คนที่เขาภาวนาของเขาได้เขาจะรู้เลยว่า จะทำสิ่งใด ถ้าเรามีคำบริกรรม เรามีสติ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ จิตนี้มันจะเสื่อมไม่ได้

ถ้าจิตมันเสื่อมมา เห็นไหม จิตที่มันไม่มีกำลัง ไม่มีกำลังเราก็ย้อนกลับมา ย้อนกลับมาที่กำหนดพุทโธ ถ้ากำหนดพุทโธ ถ้ากิเลส ถ้าเรากำหนดพุทโธใช้ปัญญาอบรมสมาธิมันสงบตัวลง นี่กิเลสมันยังตั้งตัวไม่ได้เราก็ทำได้ง่ายขึ้น แต่พอมันเห็นผลใช่ไหม ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก จิตมันสงบแล้วมีความสุขมาก จิตมีความสงบแล้วทำให้เรามั่นคงมาก จิตเวลาสงบแล้วกิเลสมันจะครอบงำเราไม่ได้ พอกิเลสครอบงำไม่ได้ เราเป็นอิสระชั่วคราว

พอเรามีอิสระชั่วคราวเราก็มีความสุข พอมีความสุขกิเลสมันอยู่กับเรา เห็นไหม กิเลสมันนอนเนื่องมากับจิต มันมีอยู่อย่างนั้นเวลามันนอนเนื่องมันพลิกกลับมา พอพลิกกลับมาเราทำสิ่งใดมันจะติดขัดไปหมดเลย พอกำหนดพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ มันก็อึดอัดขัดข้องไปหมดเลย ทำไมครั้งที่แล้วมันลง ทำไมคราวนี้มันไม่ลง ทำไมครั้งที่แล้วมันมีความสุข ครั้งนี้ทำไมไม่มีความสุข เห็นไหม

ถ้ากิเลสมันตื่นตัวขึ้นมา การกระทำนี้มันยากขึ้น พอมันยากขึ้นเวลาขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ขั้นของสมาธิมันละเอียดลึกซึ้งแตกต่างกัน นี่ก็เหมือนกัน เวลากิเลส ถ้ามันไม่รู้ตัว เรากำหนดพุทโธมันสงบตัวลงได้ เพราะกิเลสมันยังตั้งตัวไม่ทัน แต่พอเราสงบตัวได้ เรารับรู้ได้ แต่เราอยากได้อย่างนั้นอีก นี่ตัณหาซ้อนตัณหา ด้วยธรรมชาติของกิเลสมันก็ต่อด้านอยู่แล้ว ด้วยที่เราอยากได้ สิ่งที่อยากได้กิเลสมันก็สวมรอยขึ้นมา ทำอย่างนั้นแล้วจะได้ ทำอย่างนี้แล้วจะได้ พอไม่ได้ขึ้นมา เห็นไหม ทำแล้วไม่ได้ผล นี่มันจะพยายามทำให้เราเสียหายตลอด มันจะทำให้เราเบื่อหน่าย จะทำให้เราไม่มีกำลังใจ นี่คือหน้าที่ของกิเลส การทำงานของกิเลสมันทำแบบนั้น ถ้ามันทำแบบนั้นเราก็ไม่เข้าใจ พอเราไม่เข้าใจนี่ ทำไมเมื่อก่อนมันทำแล้วมันปฏิบัติแล้วปฏิบัติได้ง่าย ปฏิบัติแล้วได้ผล ทำไมคราวนี่เราปฏิบัติแล้วทำไมมันไม่ได้ผล

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคงที่ตายตัว สัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคงที่ตายตัวเลย แต่ของเรานี่เวลาเรามีศรัทธา มีความเชื่อ มีความตั้งมั่น เห็นไหม กิเลสมันไม่ต่อต้าน เราทำสิ่งใดมันก็ประสบความสำเร็จ แต่เวลาถ้ากิเลสมันแข็งข้อ กิเลสมันต่อต้านขึ้นมา กิเลสมันบังเงาขึ้นมา กิเลสมันซ้อนกิเลสขึ้นมา เราทำยังไง...ล้มลุกคลุกคลาน

ฉะนั้น ถ้ามีสติ นี่สติมาล่ะ ถ้ามีสติ เห็นไหม สิ่งที่มันจะชักจูงเราออกไปนอกลู่นอกทาง ถ้าสติมันรู้ทัน เห็นไหม มันปล่อยๆๆๆๆ ถ้ามันปล่อยขึ้นมา แล้วธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคงที่ตายตัว กำหนดบริกรรมพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เวลาถ้าจิตสงบแล้วเห็นอริยสัจ สัจจะความจริง มรรค ๔ ผล ๔ มันคงที่ตายตัว แต่ใจของเรามันไม่คงที่ตายตัว เห็นไหม มันไม่เอื้อต่อกัน ไม่เอื้อน่ะ

ดูสิ ครูบาอาจารย์ของเรา เวลาท่านประพฤติปฏิบัติ เวลาจิตใจท่านมีหลักมีเกณฑ์ ท่านจะแยกตัวออกไปเลย ท่านจะแยกตัวออกไป ท่านต้องการความสงบของท่าน ท่านต้องการเวลาของท่าน เพื่ออะไร เพราะถ้ากิเลสมันฟื้นตัวมา กิเลส เห็นไหม เวลาเราตั้งสติเราใช้คำบริกรรมของเรา ถ้าผู้ที่เดินปัญญาก็ใช้ปัญญาพิจารณากิเลสของเรา แล้วเราทำของเรา เราต้องการเวลา แต่หมู่คณะผู้ที่อยู่อาศัยด้วยกันเขาไม่เข้าใจในการกระทำแบบนี้ เขาไม่รู้ไม่เห็นอะไรไปกับเรานี่ เราต้องทำหน้าที่สองอย่าง อย่างหนึ่งคือเราต้องต่อสู้กับกิเลสในใจของเราแล้ว อีกอย่างหนึ่งต้องปฏิสันถาร ต้องให้หมู่คณะเห็นว่าเราไม่ได้รังเกียจเขา แล้วมันทำอย่างไรล่ะ เขาถึงต้องแยกตัวออกไป แยกตัวออกไปพยายามจะหาที่สงบระงับของเขา เพื่อรักษาการกระทำของเขา นี่ความเป็นจริง เห็นไหม

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชัดเจน คงที่ ตายตัว แต่กิเลสของเรามันปลิ้นปล้อน ถ้ามันปลิ้นปล้อน ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคงที่ตายตัว เราฝึกหัด เราใช้สติ สติก็คือสติ สมาธิก็คือสมาธิ ปัญญาก็คือปัญญา แต่มันจะค้ำจุนอุ้มชูกันแบบใด การค้ำจุนอุ้มชูนี่มันอยู่ที่หน้าที่ของเรานี่ไง มันอยู่ที่หน้าที่ของเราผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เวลาเราปฏิบัติธรรม เราบำเพ็ญเพียรตบะธรรมเพื่อจะแผดเผากิเลส แล้วมันเป็นความสามารถของเราแล้ว มันเป็นความสามารถของเรา มันเป็นวิธีการของเรา มันเป็นอุบายของเรา ที่เราจะค้ำชู อุ้มชูบำรุงหัวใจของเราให้ได้รับรสของธรรม ถ้ารสของธรรม เรามีสติปัญญแยกแยะของเรา ถ้าเราทำสงบได้มันก็สงบ ถ้าสงบไม่ได้นี่มันย้อนกลับมา ย้อนกลับมาที่ธุดงควัตรแล้ว เพราะธุดงควัตรมันเป็นการขัดเกลากิเลส ธุดงควัตร เห็นไหม มันเป็นการขัดเกลา มันเป็นเรื่องเครื่องมือในการต่อสู้กับกิเลส ถ้าการต่อสู้กับกิเลส นี่ถือเนสัชชิกสู้กับมันตลอดรุ่ง เห็นไหม ถือผ้าสามผืน บิณฑบาตเป็นวัตรต่างๆ

สิ่งนี้ให้จิตใจของเราได้ฝึกฝนเหมือนกับนักกีฬา นักกีฬานะ เขาได้ซ้อมของเขา เขาได้ออกกำลังกายของเขา เพื่อความเข้มแข็งของร่างกายของเขา เพื่อฝึกซ้อมทักษะในการเล่นกีฬาของเขา นี่ก็เหมือนกัน จิตใจของเรา ถ้าเรามีสติ เรามีสมาธิของเรา แล้วพอมันทำขึ้นไปแล้วนี่มันต่อสู้กับสิ่งที่กิเลสมันพลิกแพลงกลับมาไม่ได้ เห็นไหม

ธุดงควัตร สิ่งที่เราถือผ้าสามผืน ไม่ให้วิตกกังวลเกินไป จนสิ่งที่เป็นภาระหน้าที่ บิณฑบาตมาก็ฉันแต่น้อย ฉันพอดำรงชีวิต ไม่ให้ธาตุขันธ์มันเข้มแข็งขึ้นมา นี่สิ่งต่างๆ อยู่ในเรือนว่างไม่ให้มีความวิตกกังวลไง เพื่อพัฒนามัน เพื่อให้หัวใจของเรา เห็นไหม พัฒนาของมันเพื่อย้อนกลับไป ย้อนกลับไป เวลาเราไปบริกรรมไปใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ไปใช้ปัญญา ใครที่เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิตตามความจริง เราใช้กำลังของเรา ใช้ปัญญาของเราเข้าไปแยกแยะ แยกแยะให้เป็นสัจจะความจริง

ถ้าเห็นสัจจะความจริง เห็นไหม มันค้ำจุนกันอย่างนี้ สิ่งที่มันค้ำจุนขึ้นมา ให้มันพัฒนาการขึ้นมาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมาเพื่อการปฏิบัติไป พอปฏิบัติไปเราจะเห็นคุณค่า ถ้าจิตมันพัฒนานะ จิตมันมีปัญญาขึ้นมา มันแยกแยะขึ้นมา เวลามันปล่อยวางขึ้นมา มันจะมีความสุขแล้ว ความสุข เห็นไหม ความสุขของเราเกิดจากความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ การตั้งสติ การใช้คำบริกรรม การฝึกหัดใช้ปัญญา มันเป็นเรื่องการฝึกหัด มันเป็นเรื่องอุบายวิธีการที่พัฒนาใจของเรา ถ้าพัฒนาใจของเรา มันเป็นงานทั้งนั้น

งานทางโลกเขาอาบเหงื่อต่างน้ำ เขาต้องลงทุนลงแรงกันขนาดนั้น ของเรานี่ งานของเราจะรื้อภพรื้อชาตินะ ถ้าเราไม่ได้รื้อภพรื้อชาติ เราสร้างบุญกุศลขนาดไหน เรามาบวชกันน่ะได้บุญกุศล สร้างคุณงามความดีกัน เวลาตายไปแล้วนี่ก็เวียนตายเวียนเกิดไป คุณงามความดีก็ส่งเสริมกันไป เห็นไหม

ดูพระสิ พระที่มีอำนาจวาสนาบารมีทำสิ่งใดก็ประสบความสำเร็จไปทั้งนั้น พระเรา เห็นไหม ที่ไม่ได้สร้างบุญญาธิการมาทำสิ่งใดก็ขาดตกบกพร่องไปทั้งนั้น สิ่งที่ขาดตกบกพร่องไป ทำสิ่งใดนี่ผลของวัฏฏะเป็นแบบนี้ เวียนตายเวียนเกิดกันอยู่อย่างนี้ มันต้องเวียนตายเวียนเกิดกันอยู่อย่างนี้ แล้วเรามีสติมีปัญญา เราเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนา เราเชื่อมั่นในธรรมของครูบาอาจารย์ของเรา

ถ้าเราเชื่อมั่นในข้อปฏิบัติในครูบาอาจารย์ของเรา เรามาประพฤติปฏิบัติกันอยู่นี้ ประพฤติปฏิบัติไปเพื่อละภพละชาติ สิ่งที่เรารื้อภพรื้อชาติขึ้นมา เห็นไหม ถ้ารื้อภพรื้อชาติขึ้นมานี่งานของเรางานรื้อภพรื้อชาติ งานของเรามันต้องเข้มข้นกว่า นี่เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ครูบาอาจารย์ของเราเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาจนทางเป็นร่องนะ นั่งสมาธิกันนี่ทั้งคืนๆ ทำนี่ทำเพื่ออะไร

ถ้าไม่มีเป้าหมาย ไม่มีเป้าหมาย จิตใจไม่มั่นคง ทำแบบนี้ทางโลกเขาว่าทำงานของเขา เขาทุกข์เขายากของเขา ทุกข์ยากของเขาก็เท่านั้นล่ะ โลกของเขานี่ทำแทนกันได้ ช่วยเหลือเจือจานกันได้ แต่เรานั่งสมาธินี่เรานั่งแล้วให้คนอื่นเขามานั่งต่อให้จิตเราสงบได้ไหม? ไม่ได้ เราใช้ปัญญาของเราแล้วให้คนอื่นมาใช้ต่อได้ไหม

แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ดูสิ พุทธวิสัย ปัญญานี่กว้างขวางมาก นี่อาศัยปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชำระล้างกิเลสของเราบ้างสิ เราใช้ปัญญาของเรา เราใช้แยกแยะของเรา ปัญญาเราก็ใช้มหาศาลแล้ว แล้วปัญญาน่ะ เราเป็นสาวกสาวกะ เราเป็นลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็ยืมปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเพิ่มพูนของเราสิ นี่มันก็ทำไม่ได้

สิ่งที่เราศึกษามาเป็นภาคปริยัติ เป็นอุบายวิธีการเหมือนกับทหาร ทหารนี่เวลาเขาจะออกรบเขาต้องฝึกซ้อมของเขา เขาจะเอายุทธวิธี เขาฝึกซ้อมแล้วฝึกซ้อมเล่า เวลาเข้าตีแล้วนี่จะได้ไม่ผิดพลาด นี่ก็เหมือนกัน เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็ฝึกซ้อมของเรา เราก็ฝึกกลยุทธ์ยุทธวิธีของเรา แต่เวลาเราจะออกรบ เราต้องรบของเราเอง

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราฝึกหัดของเรา เราจะมีสติมีปัญญานี่มันต้องเกิดกับปัญญาของเรา ถ้ามันเกิดปัญญาของเรานี่ เราฝึกหัดของเรา ยุทธวิธีของเรา เราต้องฝึกหัดของเรา ถ้าฝึกหัดนะ เราสร้างของเรา เราพยายามทำของเราขึ้นมา

ฉะนั้น สิ่งที่บอกว่ามันทุกข์มันยาก ทุกข์ยากแน่นอน แต่ความทุกข์ยากอย่างนี้เรามีเป้าหมาย เรามีเป้าหมายว่าทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ นี่สมุทัยควรละ เห็นไหม ด้วยเกิดนิโรธะด้วยมรรคญาณ เรามีเป้าหมายของเรา ถ้าเรามีเป้าหมายของเรานะ มันจะทุกข์จะยากนะ มันพอใจ มันพอใจแล้วมันฮึกเหิม มันฮึกเหิม มันจะทำความเป็นจริง ถ้ามันทำความเป็นจริงได้ เห็นไหม เราจะทำความจริงของเรา ถ้าความจริงของเรานี่ผลประโยชน์เราเกิดตรงนี้ ถ้าเกิดนี่มันจะมีกำลังใจไง

ฉะนั้น สิ่งที่จะค้ำจุนกัน เห็นไหม ทางโลก ทางป่าไม้ สิ่งต่างๆ นี่ ป่าไม้เล็กไม้น้อยมันจะค้ำจุนกันจนเป็นป่าขึ้นมาจนเป็นแหล่งน้ำ เป็นความอุดมสมบูรณ์ของป่าขึ้นมา นี่ในหัวใจของเรา เห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญา เราพยายามฝึกหัด เรามีหลักการของเรา ให้ค้ำจุนอุ้มชูหัวใจของเราไง สิ่งความเป็นอยู่นี่ข้อวัตรปฏิบัติ หมู่คณะมันก็เป็นเรื่องหนึ่ง มันอยู่ที่อำนาจวาสนานะ

อำนาจวาสนา เห็นไหม เราเกิดในประเทศอันสมควร สัปปายะ ๔ หมู่คณะเป็นสัปปายะ สิ่งที่เป็นสัปปายะ เราหาสัปปายะ สิ่งที่เราเห็นในทางเดียวกัน เราเห็นในทางเดียวกันว่า เราเชื่อเรื่องมรรคเรื่องผล ถ้าคนไม่เห็นในทางเดียวกัน เขาบอกมรรคผลมันไม่มีหรอก เราบวชมาแล้วเห็นไหม ก็บวชหนีโลกมาเฉยๆ บวชหนีโลกมาเพื่ออยู่เป็นพระ อยู่เป็นพระไปก็ดำรงชีวิตไปจนถึงที่สุดแห่งชีวิต

แต่เรามีครูมีอาจารย์ เรามีอำนาจวาสนา เราเชื่อเรื่องมรรคเรื่องผล ถ้าเราเชื่อเรื่องมรรคเรื่องผลนะ สิ่งความเป็นอยู่เราก็ทำ เราทำเพราะว่าประเพณีวัฒนธรรม มันเป็นศาสนวัตถุ ศาสนพิธี ศาสนบุคคล ศาสนะ ศาสนวัตถุ สิ่งที่อยู่อาศัยวัดวาอาราม ศาสนพิธี พิธีกรรมที่เราทำกันอยู่เป็นพิธีกรรม

แต่ศาสนบุคคลล่ะ ก็ตัวเรานี่ไง แล้วศาสนธรรมล่ะ คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศาสนธรรมถ้ามันเป็นจริงขึ้นมาในใจของเรา เห็นไหม มันเป็นจริงขึ้นมาในหัวใจของเรา ถ้าเป็นจริงขึ้นมา เห็นไหม ธรรมทายาทเกิดแล้ว ใจดวงนั้นเป็นธรรม ถ้าใจดวงนั้นเป็นธรรมนะ เวลากิเลสมันครอบงำ กิเลสมันครอบครองในใจเรา ความทุกข์แบบนี้เราเข้าใจกันได้หมดเลย

แต่เวลาเรามีสติมีปัญญาให้ค้ำจุนอุ้มชูใจเราขึ้นมา พอค้ำจุนอุ้มชูใจของเราขึ้นมาเป็นสมาธิ เราก็มีความสงบสงัดในใจของเรา เวลามันใช้ปัญญาไปนี่ มันพิจารณาไป ตทังคปหานมันปล่อยวางเป็นครั้งเป็นคราวขึ้นมา เราก็เข้าใจของเรา แล้วมีครูบาอาจารย์คอยชี้นำว่าต้องเดินหน้าต่อไป หยุดอยู่ตรงนี้มันได้แค่นี้ ต้องเดินหน้าต่อไป ถ้าเดินหน้าต่อไปพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ ถ้ามันปล่อยว่างบ่อยครั้งเข้าๆ นี่ความชำนาญมันเกิดขึ้น

ความชำนาญนี่ เห็นไหม มรรคสามัคคี เวลามรรค มรรคเกิดแล้วแต่ความชำนาญของมัน เห็นไหม งานชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ สติชอบ ปัญญาชอบ ความชอบธรรม พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เวลามันสมุจเฉทปหาน เวลามันขาด นี่เวลามันขาดสังโยชน์มันขาดไป พอมันขาดเข้าไป นี่ไง มันค้ำจุนอุ้มชูขึ้นมา เวลามันเป็นจริงขึ้นมา มันเป็นจริงที่กลางหัวใจ ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมาในกลางหัวใจ หัวใจนั้นมันมีธรรมๆ นี่ศาสนทายาทเกิด ศาสนทายาทเกิด เราหวังอย่างนี้ เราเห็นโทษของการเกิดและการตาย เราเห็นโทษการเวียนว่ายตายเกิด

แต่ในปัจจุบันนี้เราเกิดมาเป็นมนุษย์ด้วยอำนาจวาสนามันพาเกิด บุญกุศลค้ำจุนเรามา บุญกุศลค้ำจุนเรามาจนเรามีสติปัญญา เรามาบวชเป็นพระ พอบวชเป็นพระเราอยากประพฤติปฏิบัติ การประพฤติปฏิบัติก็เป็นหน้าที่ของเรา นี่ฝ่าเท้าของเราต้องเดินจงกรม ก้นของเราต้องนั่งสมาธิ เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่ก็ปฏิบัติจากกายกับใจของเรา ถ้าเราปฏิบัติจากกายกับใจของเรา แล้วจิตของเรามันเป็นจริงขึ้นมา จิตของเราเป็นจริงขึ้นมานี่ทำศีล สมาธิ ปัญญาเกิดได้ตามความจริง

นี่ความอุ้มชูค้ำจุนของศีล สมาธิ ปัญญา มันวิปัสสนาไป ถึงที่สุดเวลามันพิจารณาไป เวลาใช้ปัญญาไปจนมันขาด มันเป็นธรรม ศาสนทายาทเกิดที่นี่ ศาสนทายาทเกิดจากใจดวงนั้น ใจดวงที่ว่ากายกับใจที่ประพฤติปฏิบัติ ใจดวงที่มันเป็นจริงขึ้นมา มันจะเป็นสมบัติของใจดวงนั้น ธรรมทายาทเกิดขึ้น ธรรมทายาทเกิดขึ้น ธรรมทายาทนี่ร่มโพธิ์ร่มไทร

จากที่กิเลสมันปกคลุม สิ่งที่มันมีแต่ความทุกข์ความยาก เห็นไหม มันจะเป็นธรรม พอเป็นธรรมขึ้นมา ธรรมอันนี้เราเผื่อแผ่เจือจานใครก็ได้ ถ้าเรามีคุณธรรมจริง เราเผื่อแผ่เจือจานใครก็ได้ เผื่อแผ่เจือจานจากความเป็นจริงอันนั้น เพราะสิ่งที่จะเป็นธรรมได้มันต้องมีเหตุ เห็นไหม มีเหตุคือการกระทำ ถ้ามันทำถูกต้องดีงาม การกระทำอันนั้นเราบอกใครไม่ได้เหรอ เราสั่งสอนเราบอกแนะวิธีการให้คนอื่นไม่ได้เหรอ

ถ้าเราแนะวิธีการ เห็นไหม จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง มันเป็นสัจธรรม เป็นความจริงขึ้นมา เราหวังตรงนี้ ถ้าเราหวังตรงนี้ให้ตั้งใจของเรา หน้าที่การงาน หน้าที่การงานของส่วนรวม ของสังฆะ ของสงฆ์ก็หน้าที่การงานหนึ่ง หน้าที่การงานของเราคือเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนานั่นเป็นกิริยาถ้าทำอย่างนั้น

แต่เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาหัวใจร่มเย็นเป็นสุข หัวใจเกิดปัญญา เกิดมรรค เกิดผลในใจ นี่มันจะต่อเนื่องเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป ความอุ้มชูค้ำจุนของมรรค มรรคญาณทำถึงที่สุดแห่งทุกข์จิตดวงนั้นจะมีคุณธรรม จิตดวงนั้นจะเข้าใจตามความเป็นจริง เวลาทำลายภวาสวะทำลายภพทำลายจิตแล้วนั้นเป็นธรรมธาตุ เอวัง